รายงาน
เรื่อง จันทรุปราคา
ด.ญ.ณัฐนันท์
ต่ายทอง ม.2/2 เลขที่
17
ด.ญ.ทักษิณา นุ่มทอง ม.2/2 เลขที่ 18
ด.ญ.กันยารัตน์ สุวรรณเชษฐ์ ม.2/2 เลขที่ 22
เสนอ
คุณครู ธีรพล คงมีพล
โรงเรียนเทศบาล ๓ วัยชัยชนะสงคราม
คำนำ
จันทรุปราคา (ชื่ออื่น เช่น จันทรคาธ, จันทรคราส, ราหูอมจันทร์
หรือ กบกินเดือน; อังกฤษ: lunar eclipse) เป็นปรากฏการณ์ที่ดวงจันทร์ผ่านหลังโลกเข้าสู่อัมบรา
(umbra) โดยตรง
ซึ่งเกิดขึ้นได้เฉพาะเมื่อดวงอาทิตย์
โลกและดวงจันทร์เรียงตรงกันพอดีหรือใกล้เคียงมาก โดยมีโลกอยู่กลาง ชนิดและระยะของอุปราคาขึ้นอยู่กับตำแหน่งของดวงจันทร์เทียบกับปมวงโคจร
(orbital node)
ประวัติจันทรุปราคา
จันทรุปราคา หรือ จันทรคราส
เกิดขึ้นจากดวงจันทร์โคจรผ่านเข้าไปในเงาของโลก
เราจึงมองเห็นดวงจันทร์แหว่งหายไปในเงามืดแล้วโผล่กลับออกมาอีกครั้ง คนไทยสมัยโบราณเรียกปรากฎการณ์นี้ว่า
"ราหูอมจันทร์" จันทรุปราคาจะเกิดขึ้นเฉพาะในคืนวันเพ็ญ 15 ค่ำ หรือคืนวันพระจันทร์เต็มดวง
อย่างไรก็ตามปรากฏการณ์จันทรุปราคาไม่เกิดขึ้นทุกเดือน
เนื่องจากระนาบที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์และระนาบที่ดวงจันทร์โคจรรอบโลกไม่ใช่ระนาบเดียวกัน
หากตัดกันเป็นมุม 5 องศา
ดังนั้นจึงมีโอกาสที่จะเกิดจันทรุปราคาเพียงปีละ 1 - 2 ครั้ง
ลักษณะของดวงจันทร์เมื่อเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง
เมื่อเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง
ดวงจันทร์ไม่ได้หายไปจนมืดทั้งดวง แต่จะเห็นเป็นสีแดงอิฐ
เนื่องจากมีการหักเหของแสงอาทิตย์เมื่อส่องผ่านชั้นบรรยากาศของโลก
สีของดวงจันทร์เมื่อเกิดจันทรุปราคาแต่ละครั้งจะไม่เหมือนกัน แบ่งออกได้เป็น 5 ระดับ ดังนี้
ระดับ 0 ดวงจันทร์มืดจนแทบมองไม่เห็น
ระดับ 1 ดวงจันทร์มืด
เห็นเป็นสีเทาหรือสีน้ำตาลแต่มองไม่เห็นรายละเอียด ลักษณะพื้นผิวของดวงจันทร์
ระดับ 2
ดวงจันทร์มีสีแดงเข้มบริเวณด้านในของเงามืด
และมีสีเหลืองสว่างบริเวณด้านนอกของเงามืด
ระดับ 3
ดวงจันทร์มีสีแดงอิฐและมีสีเหลืองสว่างบริเวณขอบของเงามืด
ระดับ 4 ดวงจันทร์สว่างสีทองแดงหรือสีส้ม
ด้านขอบของเงาสว่างมาก
ประเภทของจันทรุปราคา
เนื่องจากระนาบวงโคจรของดวงจันทร์และระนาบวงโคจรของโลกไม่ซ้อนทับกันพอดี
จึงทำให้เกิดจันทรุปราคาได้ 3 แบบ ดังนี้
จันทรุปราคาเต็มดวง (Total Eclipse) เกิดขึ้นเมื่อดวงจันทร์ทั้งดวงเข้าไปอยู่ในเงามืดของโลก
จันทรุปราคาบางส่วน (Partial Eclipse) เกิดขึ้นเมื่อบางส่วนของดวงจันทร์เคลื่อนที่ผ่านเข้าไปในเงามืด
จันทรุปราคาเงามัว (Penumbra Eclipse) เกิดขึ้นเมื่อดวงจันทร์โคจรผ่านเข้าไปในเงามัวเพียงอย่างเดียว เราจึงมองเห็นดวงจันทร์เต็มดวงมีสีคล้ำเนื่องจากความสว่างลดน้อยลง
จันทรุปราคาเงามัวหาดูได้ยาก เพราะโดยทั่วไปดวงจันทร์มักจะผ่านเข้าไปในเงามืดด้วย
เงาโลก
โลกเป็นดาวเคราะห์ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง
หากแต่ได้รับแสงจากดวงอาทิตย์ ด้านที่หันหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์เป็นเวลากลางวัน
ส่วนด้านตรงข้ามกับดวงอาทิตย์เป็นเวลากลางคืน
โลกบังแสงอาทิตย์ทำให้เกิดเงา 2 ชนิด คือ เงามืด และเงามัว
เงามืด (Umbra) เป็นเงาที่มืดที่สุด
เนื่องจากโลกบังดวงอาทิตย์จนหมดสิ้น หากเราเข้าไปอยู่ในเขตเงามืด
จะไม่สามารถมองเห็นดวงอาทิตย์ได้เลย
เงามัว (Penumbra) เป็นเงาที่ไม่มืดสนิท
เนื่องจากโลกบังดวงอาทิตย์เพียงด้านเดียว หากเราเข้าไปเขตเงามัว
เราจะมองเห็นบางส่วนของดวงอาทิตย์โผล่พ้นส่วนโค้งของโลก เงาที่เกิดขึ้นจึงไม่มืดนัก
ความเชื่อโบราณเรื่องการเกิดจันทรุปราคา
พระราหูกับพระจันทร์และพระอาทิตย์มีเรื่องโกรธเคืองกันอยู่ คือเมื่อครั้งเทวดากวนน้ำอมฤต เทวดาพยายามกีดกันไม่ให้พวกอสูรได้ดื่มน้ำอมฤต แต่พระราหูซึ่งมีกำเนิดเป็นอสูรตระกูลแทตย์ได้ปลอมตัวเป็นเทวดาและได้เล็ดลอดเข้าไปดื่มน้ำอมฤตนั้นได้สำเร็จฝ่ายพระอาทิตย์และพระจันทร์ ซึ่งเป็นเทวดาอยู่ในที่ประชุม เห็นพระราหูทำเช่นนั้น จึงทูลพระนารายณ์ให้ทรงทราบ พระนารายณ์กริ้วจึงเอาจักรขว้าง ถูกราหูขาดสองท่อนแต่ก็ไม่ตาย เพราะได้ดื่มน้ำอมฤตเข้าไปแล้ว ท่อนหัวกลายเป็นพระเกตุ (ตำนานว่าพระเกตุมีลูกเป็นดาวหางและผีพุ่งใต้)ตั้งแต่นั้นมา พระราหูประกาศเป็นศัตรูกับพระจันทร์และพระอาทิตย์ทันที คือพระราหูคอยจับพระจันทร์และพระอาทิตย์กินหรืออมไว้เพื่อเป็นการแก้แค้น ถ้าอมพระจันทร์เราเรียกว่าจันทรุปราคา ถ้าอมพระอาทิตย์เราเรียกว่าสุริยุปราคา ชาวบ้านเรียก "มีสูรย์มีจันทร์" หรือ "จัทนคราส สุริยคราส"
ปรากฏการณ์จันทรุปราคา
(Lunar Eclipse)
ปรากฏการณ์จันทรุปราคา (Lunar Eclipse) เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อดวงจันทร์เต็มดวง
จะเกิดขึ้นในเวลากลางคืน เมื่อเรามองไปบนท้องฟ้า
เราจะเห็นดวงจันทร์สีแดงอมน้ำตาลที่มีลักษณะกลมโตและใหญ่กว่าปกติ
หรือที่เราเรียกกันว่า “ดวงจันทร์สีเลือด”ปรากฏการณ์จันทรุปราคาเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากดวงอาทิตย์
โลก และดวงจันทร์ โคจรมาเรียงตัวอยู่ในแนวระนาบเดียวกัน ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก
โดยการเรียงอยู่ระนาบเดียวกัน ต้องเป็นช่วงที่ดวงจันทร์เต็มดวง (ขึ้น 15 ค่ำ) เท่านั้น
ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อดวงจันทร์มีการโคจรเข้าไปในเงาของโลก
การที่ดวงจันทร์โคจรเข้าไปในเงาโลก จะทำให้ดวงจันทร์เกิดการเว้าแหว่ง
และหากดวงจันทร์เคลื่อนที่เข้าไปในเงามืดของโลกพอดี
จะทำให้เรามองเห็นดวงจันทร์มีลักษณะกลมโตและมีสีน้ำตาลอมแดง เรียกว่า “จันทรุปราคาเต็มดวง”
ลำดับความสว่างจันทรุปราคาของแดนจอน
นักดาราศาสตร์ชาวฝรั่งเศสชื่อ
แอนเดร์ หลุยส์ แดนจอน (André-Louis Danjon) ได้เสนอการจัดเรียงลำดับของจันทรุปราคาไว้
5 ระดับ
เพื่อใช้ในการเปรียบเทียบความสว่างของดวงจันทร์ในช่วงขณะที่เกิดจันทรุปราคาเต็มดวง
โดยใช้สัญลักษณ์ความสว่าง (Luminosities) เป็นตัวแอล “L” สำหรับค่าความสว่างต่างๆ
มีการกำหนดดังต่อไปนี้โดยเมื่อค่า
L = 1 จันทรุปราคาเต็มดวงมีความมืด
เห็นเป็นสีเทาหรือสีน้ำตาลอ่อนในการแยกนั้นค่อนข้างลำบาก
L
= 2 จันทรุปราคาเต็มดวงเห็นเป็นสีแดงเข้มหรือสีสนิมคราส บริเวณศูนย์กลาง
เงาสีเข้มมาก ในขณะที่ขอบนอกของเงามัว ค่อนข้างสดใส
L
= 3 จันทรุปราคาเต็มดวงเห็นเป็นสีแดงอิฐ
เงามัวมักจะมีขอบหรือสีเหลืองสดใส
L
= 4 จันทรุปราคาเต็มดวงที่เห็นจะสว่างมาก
มีสีทองแดงหรือสีส้ม เงามัวมีสีฟ้า ขอบของดวงจันทร์มีความสว่างมาก
L = 2
L = 3
L = 4
ลำดับการเกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวง
ปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวงจะเริ่มต้นด้วยปรากฏการณ์จันทรุปราคาเงามัวก่อน
และตามมาด้วยปรากฏการณ์จันทรุปราคาบางส่วน
เมื่อดวงจันทร์เคลื่อนที่เข้าไปอยู่ในเงามืดของโลกหมดทั้งดวง
เรียกว่าเกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวง เมื่อดวงจันทร์เริ่มออกจากเงามืด
ดวงจันทร์ก็จะเริ่มสว่างขึ้นทีละน้อยจนสว่างทั้งดวง
และเมื่อดวงจันทร์เคลื่อนที่ผ่านพ้นเงามืดของโลก
ปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวงก็สิ้นสุดลง โดย
ลำดับการเกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคาจะกำหนดจากระยะเวลาในช่วงระหว่างขณะการเกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคา
และปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวงสามารถแบ่งออกเป็น 7 ช่วง ด้วยกัน คือ
1. P1 สัมผัสที่ 1
(First contact) เป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคา
ดวงจันทร์เริ่มสัมผัสเงามัวของโลกครั้งแรก
และเริ่มเกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคาบางส่วนเงามัว ซึ่งเป็นช่วงที่สังเกตยากมากที่สุด
เพราะแสงสว่างจากดวงจันทร์แทบจะไม่มีการลดลงเลย
2. U1 สัมผัสที่ 2 (Second Contact) จุดเริ่มต้นของการเกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคาบางส่วน
ดวงจันทร์เริ่มสัมผัสขอบด้านนอกเงามืดของโลกครั้งแรก
และเริ่มเกิดจันทรุปราคาบางส่วนเงามืด ในช่วงนี้ดวงจันทร์จะเริ่มแหว่งไปช้าๆ
3. U2 สัมผัสที่ 3 (Third Contact) จุดเริ่มต้นของปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวง
ดวงจันทร์จะอยู่ภายในเงามืดของโลกอย่างสมบูรณ์
แสงสว่างจากดวงจันทร์จะลงลดจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด
4.
กึ่งกลางอุปราคา (Greatest eclipse) เป็นจุดที่ดวงจันทร์เข้าไปอยู่กึ่งกลางเงามืดของโลก
ซึ่งในการเกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคาในแต่ละครั้งจุดกึ่งกลางอุปราคา
จะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับ ว่าอยู่ในช่วงไหนของซารอสนั้นๆ
และยังเป็นบริเวณที่แสงจากดวงจันทร์ลดลงมากที่สุด
5. U3 สัมผัสที่ 4 (Fourth Contact) จุดสุดท้ายของปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวง
เป็นจุดที่ดวงจันทร์จะเริ่มออกจากเงามืดของโลก แสงสว่างของดวงจันทร์เริ่มปรากฏขึ้น
และกลายเป็นปรากฏการณ์จันทรุปราคาบางส่วนอีกครั้ฃ
6. U4 สัมผัสที่ 5
(Fifth contact) จุดสิ้นสุดของปรากฏการณ์จันทรุปราคาบางส่วน
ดวงจันทร์ออกจากเงามืดของโลกทั้งดวง และเริ่มเห็นดวงจันทร์เต็มดวงอีกครั้ง
7. P2 สัมผัสที่ 6
(Sixth contact) จุดสุดท้ายของปรากฏการณ์จันทรุปราคาบางส่วนเงามัว
เป็นจุดที่ดวงจันทร์จะผ่านพ้นเงามัวของโลกหมดทั้งดวงอย่างสมบูรณ์
และดวงจันทร์จะสว่างขึ้นดังเดิม
ปัจจัยในการเกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคา
วงโคจรของดวงจันทร์รอบโลก
วงโคจรของดวงจันทร์ขณะโคจรรอบโลกมีลักษณะเป็นวงรี
ซึ่งระยะห่างระหว่างตำแหน่งของดวงจันทร์อยู่ใกล้โลกที่สุด (Perigee) โดยเฉลี่ยประมาณ
362,570 กิโลเมตร (356,400 – 370,400 กิโลเมตร)
และระยะห่างระหว่างตำแหน่งของดวงจันทร์อยู่ไกลโลกที่สุด (Apogee) โดยเฉลี่ยประมาณ
405,410 กิโลเมตร (404,000 – 406,700 กิโลเมตร)
จากจุดทั้ง 2
มีระยะทางต่างกันประมาณ 42,840 กิโลเมตร
ความแตกต่างของระยะทางนี้เองที่ทำให้เงาของโลกที่ทอดบนผิวของดวงจันทร์มีความแตกต่างกันในแต่ละครั้งที่เกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคา
เช่น ในกรณีที่โลกและดวงจันทร์อยู่ใกล้กัน เงาที่เกิดขึ้นจะมีขนาดใหญ่
และมีเงามืดเป็นบริเวณกว้าง
ทำให้การเกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคาในแต่ละครั้งไม่เหมือนกัน
และมีค่าความสว่างของดวงจันทร์ขณะเกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวงมีค่าแตกต่างกันไป
นอกจากนี้หากดวงจันทร์อยู่ในตำแหน่งที่ห่างจากโลกมากที่สุด
จะทำให้ระยะเวลาในการเกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคานานขึ้น ด้วยเหตุผล 2 ประการ คือ
1.
ณ
ตำแหน่งที่ดวงจันทร์อยู่ไกลโลกมากที่สุด ดวงจันทร์จะเคลื่อนที่ช้ากว่าตำแหน่งอื่นๆ
เพราะตำแน่งนี้เป็นตำแหน่งที่ดวงจันทร์เคลื่อนที่ช้าที่สุดในวงโคจรรอบโลก
(ตามกฏของเคปเลอร์)
2.
ขณะที่ดวงจันทร์อยู่ที่ตำแหน่งไกลโลกมากที่สุด
เราจะสังเกตมองเห็นดวงจันทร์มีขนาดเล็กกว่า
ตำแหน่งขณะที่ดวงจันทร์อยู่ใกล้โลกที่สุด ดวงจันทร์จะเคลื่อนที่ผ่านเงาของโลกไปอย่างช้า
ทำให้อยู่ในเงามืดนานขึ้น
ปรากฏการณ์พระจันทร์สีเลือดในคืนที่มีจันทรุปราคา
เหตุที่พระจันทร์กลายเป็นสีแดง สีส้มอิฐ จนถูกเรียกขานว่าพระจันทร์สีเลือด
นั่นก็เพราะเมื่อดวงจันทร์โคจรเข้ามาอยู่ในเงามืดของโลกทั้งดวง
ก่อให้เกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวง ดวงอาทิตย์ โลก
และดวงจันทร์ที่โคจรมาอยู่ในระนาบเดียวกัน
ส่งผลให้แสงสีแดงจากดวงอาทิตย์หักเหผ่านบรรยากาศของโลกไปกระทบกับดวงจันทร์
ก่อให้เกิดเป็นพระจันทร์สีเลือดขึ้นได้
และเมื่อดวงจันทร์เคลื่อนตัวออกจากเงามืดของโลก โดยผ่านเงามัวของโลก จุดนี้เราจะมองเห็นดวงจันทร์เต็มดวง
แต่ความสว่างของดวงจันทร์จะลดน้อยลงและไม่เจอแสงดวงอาทิตย์ส่องกระทบให้เห็นเป็นพระจันทร์สีเลือดอีก
ซึ่งช่วงเวลานี้จะค่อนข้างสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของดวงจันทร์ได้ค่อนข้างยาก
จันทรุปราคาเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยด้านดาราศาสตร์ที่น่ารู้
การเกิดจันทรุปราคาสามารถพิสูจน์ให้เห็นตามหลักทางดาราศาสตร์ได้ว่า
ดวงจันทร์มีการโคจรรอบโลก นอกจากนี้ปรากฏการณ์จันทรุปราคายังช่วยเราหาคำตอบว่า
โลกใบนี้กลมจริงหรือไม่ ? ได้อีกด้วย
เพราะหากลองสังเกตเงาของโลกที่ปรากฏบนผิวของดวงจันทร์จะพบว่า เงาที่เกิดขึ้นมีลักษณะเป็นเส้นโค้งเหมือนวงกลม
ซึ่งในอดีต
นักดาราศาสตร์ได้ใช้ความโค้งของเงาโลกที่ปรากฏขึ้นบนพื้นผิวดวงจันทร์ระหว่างการเกิดจันทรุปราคาบางส่วนมาเป็นหลักฐานอย่างหนึ่งท่ีชี้ให้เห็นว่าโลกกลม
และที่สําคัญปรากฏการณ์จันทรุปราคายังแสดงให้เห็นว่า โลกและพระจันทร์ต่างก็ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง
แต่ที่โลกและพระจันทร์มีแสงสว่างอย่างที่เราเห็นนั้น
เป็นการอาศัยแสงสว่างจากดวงอาทิตย์นั่นเอง
การเกิดจันทรุปราคาสามารถพิสูจน์ให้เห็นตามหลักทางดาราศาสตร์ได้ว่า
ดวงจันทร์มีการโคจรรอบโลก นอกจากนี้ปรากฏการณ์จันทรุปราคายังช่วยเราหาคำตอบว่า โลกใบนี้กลมจริงหรือไม่
? ได้อีกด้วย
เพราะหากลองสังเกตเงาของโลกที่ปรากฏบนผิวของดวงจันทร์จะพบว่า
เงาที่เกิดขึ้นมีลักษณะเป็นเส้นโค้งเหมือนวงกลม ซึ่งในอดีต
นักดาราศาสตร์ได้ใช้ความโค้งของเงาโลกที่ปรากฏขึ้นบนพื้นผิวดวงจันทร์ระหว่างการเกิดจันทรุปราคาบางส่วนมาเป็นหลักฐานอย่างหนึ่งท่ีชี้ให้เห็นว่าโลกกล
และที่สําคัญปรากฏการณ์จันทรุปราคายังแสดงให้เห็นว่า
โลกและพระจันทร์ต่างก็ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง
แต่ที่โลกและพระจันทร์มีแสงสว่างอย่างที่เราเห็นนั้น
เป็นการอาศัยแสงสว่างจากดวงอาทิตย์นั่นเอง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น